โดย ดร.ยงยุทธ เจียมไชยศรี | ||||||||||
ในการเยี่ยมชมฟาร์มคุณอรรถพร สุบุญสันต์ อาจพาชมอุปกรณ์และการปฏิบัติงานบางอย่าง เพื่อให้ | ||||||||||
ทราบถึงเหตุผลในการใช้อุปกรณ์และการปฏิบัติงานเหล่านั้นจึงขอนำ เสนอเหตุผลและหลักการโดยสังเขปไว้ล่วงหน้า | ||||||||||
เมื่อได้ชมแล้วหากมีข้อสงสัย ผู้เขียนยินดีที่จะตอบข้อซักถามเพิ่มเติมให้อีก | ||||||||||
การปรับ pH ให้เหมาะสมสามารถลดโรครากเน่าได้ | ||||||||||
pH ของสารละลายเป็นปัจจัยหลักอย่างหนึ่งที่มีผลต่อการเกิดโรครากเน่า รากพืชไวต่อความเป็นกรดของ | ||||||||||
สารละลายธาตุอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อ อุณหภูมิของสารละลายค่อนข้างสูงซึ่งรากจะอ่อนแอกว่าที่อุณหภูต่ำ | ||||||||||
เมื่อเริ่มมีการปลูกเลี้ยงผักสลัดในประเทศไทยด้วยระบบไฮโดรโพนิกส์ เราตั้งเป้าในการปรับ pH ของสารละลายธาตุอาหาร | ||||||||||
ตามตำราฝรั่งที่ 5.3 - 5.5 การปรับ pH เช่นนี้ได้ผลดีในช่วงฤดูหนาวเท่านั้น ในฤดูร้อนและฤดูฝนซึ่งอากาศมีอุณหภูมิสูง | ||||||||||
มักจะเกิดโรครากเน่า การปรับ pH ให้เหมาะสมกับอุณหภูมิในแต่ละฤดูกาล จะช่วยลดโรครากเน่าได้ จากการทดลองของ | ||||||||||
คุณอรรถพร สุบุญสันต์ pH ที่เหมาะสมในแต่ละฤดูกาลมีดังนี้ | ||||||||||
ฤดูหนาว | ควรปรับไปที่ pH 5.5 ซึ่งเป็น pH ที่พืชผักเติบโตดี เนื่องจากอุณหภูมิต่ำ โอกาสเกิดโรคมีน้อย | |||||||||
ฤดูฝน | ควรปรับไปที่ pH 6.0 เพื่อลดการเกิดโรครากเน่า พืชผักโตได้ดีพอควรที่ pH นี้ | |||||||||
ฤดูร้อน | ควรปรับไปที่ pH 6.5 เพื่อลดการเกิดโรครากเน่าซึ่งมักจะพบเสมอเมื่อสารละลายธาตุอาหารมี | |||||||||
อุณหภูมิสูง เราต้องหาทางลดอุณหภูมิสารละลายธาตุอาหารร่วมด้วย | ||||||||||
การปรับ pH ในช่วง 6.0 - 6.5 ในกรณีที่ใส่ ไตโครเดอร์มา ลงไปในสารละลายธาตุอาหาร จะเห็นผลของ | ||||||||||
การเจริญเติบโตของพืชผักในระดับที่ดี ถึงดีมาก การปรับ pH ค่อนไปทางสูง ควรพิจารณาใช้เหล็กคีเลทที่ทน pH | ||||||||||
ในช่วงนั้นได้ | ||||||||||
ในกรณีที่ใช้สารละลายธาตุอาหารที่มีเกลือแอมโมเนียมอยู่ด้วยไม่ควรปรับ pH ให้ต่ำกว่า 6 ถ้าจะให้ปลอดภัย | ||||||||||
ยิ่งขึ้นควรปรับไปที่ pH 6.5 เพราะเมื่อผักดูดซึมแอมโมเนี่ยมผักจะปล่อยกรดออกมาที่ผิวราก | ||||||||||
การปรับ pH ให้ถูกต้องและเหมาะสม เป็นเรื่องที่มีความสำคัญต่อความสำเร็จ ในการปลูกเลี้ยงมากเกินคาด | ||||||||||
ควรอ่านเพิ่มเติมที่ www.phutalay.com - แม่บัวหลวงไฮโดรโพนิกส์ ซึ่งจะให้ความรู้ในเรื่องนี้และความรู้ทั่วไปที่สำคัญ | ||||||||||
อย่างอื่นอีกด้วย | ||||||||||
การปรับ EC ของสารละลายให้เหมาะสมกับช่วงอายุผัก | ||||||||||
การปรับ EC ของสารละลายธาตุอาหารให้เหมาะสมกับช่วงอายุผักในกลุ่มของเรา เป็นการปรับแบบ EC สูงไปหาต่ำ | ||||||||||
ซึ่งตรงข้ามกับวิธีการในตำราฝรั่งที่เป็นแบบ EC ต่ำไปหาสูง การปรับตามตำราฝรั่ง อาศัยแนวความคิดที่ว่าผักต้นเล็กอ่อนแอ | ||||||||||
ควรได้แสงอ่อน ปุ๋ยอ่อน ไล่ไปตั้งแต่น้ำเปล่าแล้วค่อยๆ เพิ่มขึ้นตามลำดับ ตามความเป็นจริงแล้วต้นอ่อนของผักแข็งแรง | ||||||||||
และทนแดดได้ดีกว่าผักต้นโต การให้ปุ๋ยตั้งแต่เริ่มงอก ที่ EC สูง และให้แดดจัดจะได้ต้นกล้าที่เติบโตดีและแข็งแรง | ||||||||||
พร้อมที่จะเติบโตต่อทันที เมื่อย้ายไปลงรางปลูก ช่วงแรกของการปลูกเลี้ยงในรางปลูกเมื่อผักยังเล็ก ควรใช้ EC สูงเพื่อให้ | ||||||||||
ผักโตเร็ว และควรลด EC ลงตามลำดับจนถึง EC ต่ำสุด ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายก่อนการเก็บเกี่ยว EC ต่ำทำให้ผัก | ||||||||||
มีรสชาดดีและไม่ขม | ||||||||||
ค่า EC โดยประมาณของสารละลายธาตุอาหารสำหรับผักสลัดควรเป็นดังนี้ | ||||||||||
EC ของโต๊ะเพาะ | เริ่มเพาะ - สัปดาห์ที่ 2 ครึ่ง | 1.7 - 1.8 | ||||||||
EC ของโต๊ะปลูก | สัปดาห์ที่ 2 ครึ่ง - 4 | 1.6 | ||||||||
สัปดาห์ที่ 4 - 5 | 1.4 | |||||||||
สัปดาห์ที่ 5 - เก็บเกี่ยว | 1.2 - 1.0 | |||||||||
ในช่วงที่ใช้สารละลายธาตุอาหารที่มีค่า EC เท่ากับ 1.2 - 1.0 ควรเติมธาตุอาหารรองเพิ่มเติม | ||||||||||
การเติมธาตุอาหารรองเพิ่มลงไปในถังสารละลายธาตุอาหาร | ||||||||||
ในหลายกรณีผักจะไม่สดใสเท่าที่ควรและแสดงอาการขาดธาตุอาหารรอง เช่นความเขียวลดลง และยอดยืด | ||||||||||
ในบางสายพันธุ์ เราควรเติมธาตุอาหารรองเพิ่มเติม เราอาจเตรียมสารละลายธาตุอาหารรองไว้เติมแต่ง ได้จากการนำเอา | ||||||||||
นิคสเปรย์พร้อมสารเติมแต่งและเหล็กคีเลท ในปริมาณที่ใช้ในสูตรอาหาร มาละลายในน้ำที่มีปริมาณตามที่ต้องการ | ||||||||||
เช่น 1 ลิตร หรือ 2.5 ลิตร การเพิ่มเติมธาตุอาหารรองก่อนที่พืชจะแสดงอาการขาดจะช่วยให้พืชผักสดใสและเติบโตต่อเนื่อง | ||||||||||
โดยไม่มีการชะงักงัน ควรทราบไว้ว่าธาตุอาหารรองมีผลต่อความสดใสและการเจริญเติบโตของผักเป็นอย่างมาก | ||||||||||
ตัวอย่างของกรณีที่ควรเติมธาตุอาหารรองลงไปในสารละลายธาตุอาหาร | ||||||||||
1. เมื่อใบผักเปียกต่อเนื่องเป็นช่วงเวลานาน เช่นเมื่อฝนตกเกือบต่อเนื่องกันหลายวัน ซึ่งจะทำให้ฝักไม่สามารถ | ||||||||||
ดูดซึมสารละลายธาตุอาหารเพราะใบคายน้ำไม่ได้ ผักอาจขาดธาตุอาหารรอง | ||||||||||
2. เมื่อใช้สารละลายธาตุอาหารที่มี EC ต่ำ ในกรณีเช่นนี้สารละลายธาตุอาหารจะมีความเข้มข้นธาตุอาหารรองต่ำ | ||||||||||
ตามไปด้วย จึงควรได้รับการเสริมธาตุอาหารรอง | ||||||||||
3. ในกรณีที่สารละลายธาตุอาหารมีอุณหภูมิสูงถึง 30 องศาเซลเซียส หรือสูงกว่านั้นการทำงานของรากจะด้อยลง | ||||||||||
ซึ่งจะทำให้ดูดซึมธาตุอาหารได้น้อยลง การเสริมธาตุอาหารรองจะทำให้พืชผักได้รับธาตุอาหารรองเพียงพอ | ||||||||||
การผลิตเชื้อไตรโครเดอร์มาชนิดสด | ||||||||||
เชื้อราปฎิปักษ์ที่นำมาใช้ในการควรคุมโรครากเน่าของผักกาดหอมคือเชื้อราไตรโครเดอร์มา ฮาเซียนัม | ||||||||||
(Trichoderma Harzianum) สายพันธุ์ CB-Pin-01 ของภาควิชาโรคพืช คณะเกษตรกำแพงแสน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ | ||||||||||
วิทยาเขตกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม ซึ่งมี ดร.จิระเดช แจ่มสว่าง เป็นผู้ทำการวิจัย เชื้อรานี้มีประสิทธิภาพสูงในการ | ||||||||||
ควบคุมเชื้อราสาเหตุโรคพืชชนิดต่างๆ อย่างกว้างขวาง เช่น เชื้อราพิเธียม (Pythium app.) ที่เป็นเชื้อราสาเหตุของโรค | ||||||||||
รากเน่าของผักสลัดต่างๆ ที่ปลูกเลี้ยงในระบบไฮโดรโพนิกส์ | ||||||||||
การผลิตเชื้อราไตรโคเดอร์มา ชนิดสด ทำได้ง่ายโดยการเลี้ยงเชื้อราไตรโครเดอร์มา จากหัวเชื้อให้เจริญบนวัสดุ | ||||||||||
อาหารเช่น เมล็ดข้าวสาร ปลายข้าว ข้าวกล้อง ข้าวโพดบดแตก หรือข้าวเหนียวที่ผ่านการหุงหรือนึ่งให้สุกอย่างไม่เต็มที่ | ||||||||||
และค่อนข้างแห้ง เมื่อเชื้อราสร้างสปอร์เป็นสีเขียวเข้มแล้ว เราจะนำ "เชื้อสด" นั้นมาล้างออกจากเมล็ดข้าวให้ลงไปอยู่ในน้ำ | ||||||||||
หรือสารละลายธาตุอาหาร แล้วนำสารแขวนลอยของสปอร์ไปเติมลงไปในสารละลายธาตุอาหารปลูกเลี้ยง | ||||||||||
หัวเชื้อราไตโคเดอร์มาพร้อมคำแนะนำในการเลี้ยงเชื้อ เพื่อผลิตเชื้อสดโดยละเอียด มีจำหน่ายในกรุงเทพฯ | ||||||||||
ที่ร้านพรรณไม้ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขยบางเขน เขตจตุจักร | ||||||||||
การเตรียมเชื้อสดในรูปเชื้อน้ำที่เป่าอากาศแล้ว | ||||||||||
เมื่อเรานำสารแขวนลอยของสปอร์มาเป่าลมให้สปอร์งอก เชื้อจะเจริญและสร้างสารออกฤทธิ์ของเชื้อไตรโครเดอร์มา | ||||||||||
เพิ่มขึ้นจนเหมาะสำหรับใช้พ่นใบเพื่อต่อต้านโรคใบจุดและโรคต่างๆของส่วนบนของผัก เราอาจใส่เชื้อน้ำที่เป่าอากาศแล้ว | ||||||||||
ลงไปในสารละลายธาตุอาหารได้ด้วย (ไม่ต้องใช้สารจับใบ) วิธีการทำและใช้เชื้อน้ำที่เป่าอากาศแล้วมีดังนี้ | ||||||||||
1. นำเชื้อสด (เมล็ดข้าวที่มีสปอร์ของไตโครเดอร์มา 100 กรัม มาล้างหรือสารละลายธาตุอาหาร 1 ลิตร | ||||||||||
กรองเมล็ดข้าวออก แล้วนำเชื้อน้ำเข้มข้นไปเทลงไปในสารละลายธาตุอาหาร 20 ลิตร เติมธาตุอาหารเสริม (นิคสเปร์ย) | ||||||||||
หนึ่งช้อนชา เพื่อเพิ่มการงอก | ||||||||||
2. เป่าอากาศด้วยปั้มลมของตู้ปลาลงไปในเชื้อน้ำเข้มข้น เป็นเวลา 12-24 ชั่วโมง เพื่อให้เชื้องอกและเจริญ | ||||||||||
3. ใส่สารจับใบหรือน้ำยาล้างจานลงไป 1-5 มิลลิลิตร (ถ้าต้องการ) | ||||||||||
4. พ่นต้นผักด้วยเชื้อน้ำนี้ทุก 5-7 วัน และควรพ่นก่อนที่จะพบโรคระบาดเพื่อป้องกันการเข้าทำลายของเชื้อโรค | ||||||||||
ในกรณีที่มีโรคระบาดรุนแรงอาจพ่นทุก 3-5 วัน | ||||||||||
5. ควรใช้เครื่องพ่นชนิดละออง ละเอียดมาก | ||||||||||
6. การพ่นเชื้อน้ำลงบนระบบรางปลูก พื้นทางเดินและใต้โต๊ะปลูกจะช่วยลดปริมาณเชื้อโรคได้ | ||||||||||
เชื้อน้ำที่เป่าอากาศแล้วนั้นนอกจากควบคุมโรคแล้วยังเร่งการเจริญเติบโตของผักอีกด้วย | ||||||||||
การใช้ไตรโครเดอร์มาในการเพาะเมล็ด | ||||||||||
การใช้เชื้อสดของไตรโครเดอร์มาในการเพาะเมล็ดจะทำให้มั่นใจได้ว่าเราจะได้ต้นกล้าที่รากไม่เสีย แข็งแรง | ||||||||||
และไม่มีต้นกล้าตายจากโรครากเน่า ต้นกล้าที่ได้จะเติบโตดีมากอย่างสม่ำเสมอกันอีกด้วย การใช้เชื้อสดในการเพาะเมล็ด | ||||||||||
อาจทำได้ดังนี้ | ||||||||||
1. เตรียมถ้วยเพาะที่บรรจุวัสดุเพาะกล้าที่เป็นเวอร์มิคิวไลท์ ผสมเพอร์ไลท์ | ||||||||||
2. เตรียมเชื้อน้ำโดยใช้เชื้อสด 100 กรัมกับน้ำหรือสารละลายธาตุอาหาร 20 ลิตร | ||||||||||
3. พ่นหรือรดเชื้อน้ำลงไปบนวัสดุเพาะกล้าให้ชุ่ม | ||||||||||
4. หยอดเมล็ดผักลงในถ้วยและกลบบางๆ | ||||||||||
5. เก็บถ้วยนั้นไว้ในที่ที่ไม่ร้อน และไม่ถูกแสงแดด 24-36 ชั่วโมง ในสภาพที่ทำให้วัสดุปลูกชื้น เช่นพ่นหรือรดน้ำ | ||||||||||
เป็นระยะหรือวางในถาดที่มีสารละลายธาตุอาหารผสมไตรโครเดอร์มาประมาณ 1 เซ็นติเมตร | ||||||||||
6. นำถ้วยเพาะไปวางบนรางอนุบาลโดยใช้สารละลายธาตุอาหารผสมเชื้อราไตโครเดอร์มาชนิดสด | ||||||||||
(เชื้อสด 100 กรัมต่อสารละลายธาตุอาหาร 200 ลิตร) ไหลเวียนใต้ถ้วย | ||||||||||
การใช้ยาฉุนในการปราบแมลง | ||||||||||
ในใบยาสูบมีนิโคตีนที่สามารถฆ่าแมลงได้ ยาฉุนเป็นผลิตภัณฑ์ยาสูบที่มีปริมาณนิโคตีนสูง เราจึงควรนำยาฉุน | ||||||||||
มาใช้ในการปราบแมลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพลี้ยไฟที่เป็นศรัตรูสำคัญอย่างหนึ่งของผักสลัด โดยทั่วไปเราจะนำยาฉุนมาใช้ | ||||||||||
ในน้ำผสมน้ำยาล้างจานเล็กน้อยและขยำให้เปียกทั่ว แช่ไว้ประมาณ 1 ชั่วโมงโดยที่ขยำเป็นครั้งคราว ถ้าไม่รีบร้อนอาจแช่ไว้ | ||||||||||
นานกว่านั้น นำมาบีบเอากากออกและกรองกากที่เหลือออกให้หมดแล้วนำไปพ่นฆ่าแมลง | ||||||||||
การเติมน้ำยาล้างจานมีความสำคัญอยู่ 2 ประการ ประการแรก น้ำยาล้างจานทำให้น้ำยาฉุนเปียกแมลงและเปียก | ||||||||||
ใบผักได้ดี ประการที่สองน้ำยาล้างจานมีฤทธิ์เป็นด่าง จึงทำให้นิโคตีนอยู่ในรูปสารอิสระอย่างสมบูรณ์ ถ้าไม่เติมน้ำยาล้างจาน | ||||||||||
นิโคตีนบางส่วนอาจอยู่ในรูปเกลือของนิโคตีน ซึ่งออกฤทธิ์ได้น้อยกว่านิโคตีนอิสระ ดังนั้นน้ำยาล้างจานจึงสามารถเพิ่ม | ||||||||||
ประสิทธิภาพในการปราบแมลงของน้ำยาฉุนได้เป็นอย่างมาก | ||||||||||
การพ่นน้ำลดเพลี้ยไฟ | ||||||||||
เพลี้ยไฟเป็นแมลงขนาดเล็กที่ออกหากินบนผักในเวลากลางคืน การพ่นน้ำเป็นช่วงๆ ในเวลากลางคืนจะรบกวน | ||||||||||
การหากินของเพลี้ยไฟ และเพลี้ยไฟบางตัวก็จมน้ำตาย ดังนั้นการพ่นน้ำในเวลากลางคืนจึงสามารถลดการทำลายของ | ||||||||||
เพลี้ยไฟ และลดปริมาณของเพลี้ยไฟลงได้มากถ้าทำซ้ำๆ กันหลายคืนในขณะที่เพลี้ยไฟระบาด | ||||||||||
การปล่อยน้ำให้ท่วมพื้นดินใต้รางปลูกเพื่อลดเพลี้ยไฟ | ||||||||||
เพลี้ยไฟมีวงจรชีวิตที่ต้องเข้าดักแด้ในดินก่อนเป็ตัวเต็มร้อย ดังนั้นเมื่อเพลี้ยไฟระบาดเราควรทำให้พื้นดินใต้ | ||||||||||
รางปลูกแฉะอยู่เสมอ เพื่อตัดวงจรชีวิตของเพลี้ยไฟโดยการทำให้ดักแด้ของเพลี้ยไฟจมน้ำตาย | ||||||||||
การใช้พัดลมลดโรคใบจุดและเร่งการเจริญเติบโต | ||||||||||
ในฤดูฝนที่มีทั้งละอองฝนและอากาศที่มีความชื้นสูง ใบผักมักจะเปียกชื้นเป็นเวลานาน ในสภาพเช่นนี้เมื่อสปอร์ | ||||||||||
ของเชื้อราของโรคใบจุดปลิวไปตกลงบนใบผัก สปอร์จะงอกได้และทำให้เกิดโรคใบจุด ถ้าเราเปิดพัดลมให้อากาศในโรงเรือน | ||||||||||
เคลื่นอนไหว ใบผักจะแห้งเร็วขึ้น โอกาสที่สปอร์ของเชื้อราที่ปลิวมาตกลงงอกได้ก็จะลดลง ดังนั้นเราจึงสังเกตุเห็นว่า | ||||||||||
เมื่อเปิดพัดลมในโรงเรือนแล้วการทำลายของโรคใบจุดจะลดลง | ||||||||||
การเปิดพัดลมทำให้ใบแห้งและทำให้น้ำระเหยออกจากใบมากขึ้น เมื่อน้ำระเหยออกไป รากจะดูดสารละลาย | ||||||||||
ธาตุอาหารขึ้นมาแทนที่ การระบายน้ำออกจากใบเพิ่มขึ้นเช่นนี้จะทำให้พืชได้รับธาตุอาหารเพิ่มขึ้น นอกจากนี้เราได้พบว่า | ||||||||||
ในกรณีที่อากาศนิ่งสนิท การแลกเปลี่ยนก๊าซระหว่างใบพืชกับอากาศที่อยู่ใกล้ชิดกับใบก็เป็นไปได้ไม่ดี เพราะอากาศ | ||||||||||
ที่อยู่ใกล้ชิดนั้นเป็นอากาศที่แลกเปลี่ยนแก๊สกับใบพืชแล้ว การเคลื่อนไหวของอากาศจะทำให้อากาศที่อยู่ใกล้ชิดกับใบนั้น | ||||||||||
เคลื่อนที่ไปและอากาศส่วนใหม่ๆ จะเคลื่อนเข้ามาตลอดเวลา ดังนั้นการเปิดพัดลมจึงทำให้พืชได้รับธาตุอาหารเพิ่มขึ้น | ||||||||||
และมีการแลกเปลี่ยนก๊าซกับอากาศดีขึ้นจนทำให้พืชเติบโตดีขึ้น | ||||||||||
การเติมธาตุอาหารเพื่อให้ต้นคะน้าอ้วน | ||||||||||
คะน้าเป็นพืชที่จะมีลำต้นอ้วนเมื่อใกล้ออกดอก พืชจะถึงระยะใกล้ออกดอกได้เร็วขึ้น เมื่อได้รับฟอสเฟตเพิ่มขึ้น | ||||||||||
คะน้าเป็นเพืชผักสำหรับกินใบ จึงต้องการไนโตรเจนมากในช่วงการเจริญเติบโต คะน้าเป็นผักในกลุ่มที่ชอบปุ๋ยไนโตรเจน | ||||||||||
ที่มีทั้งไนเตรทและแอมโมเนียม ปุ๋ยไฮโดรโพนิกส์ของเราไม่มีแอมโมเนียมเลย หรือมีอยู่เพียงเล็กน้อย ในการปลูกคะน้า | ||||||||||
เราจึงเติมปุ๋ยที่มีแอมโมเนียมและมีฟอสเฟตลงไป นั่นคือเราจึงเติมโมโนแอมโมเนียมฟอสเฟต (MAP) เพิ่มเข้าไปทีละน้อย | ||||||||||
เราไม่เติมครั้งละมากๆ เพราะถ้ามีความเข้มข้นของแอมโมเนียมสูงเกินไป คะน้าจะดูดแอมโมเนียมได้เร็วกว่าการใช้ประโยชน์ | ||||||||||
จากแอมโมเนียม และจะแสดงอาการใบเหี่ยว เราจะหยุดเติมถ้าคะน้าบางต้นมีใบเหี่ยว เมื่อแอมโมเนี่ยมในสารละลาย | ||||||||||
ธาตุอาหารเจือจางลงจึงเติมใหม่อีก เราสามารถประมาณความเข้มข้นของแอมโมเนียมในสารละลายธาตุอาหารได้จาก | ||||||||||
การเปลี่ยนแปลง pH ของสารละลายธาตุอาหารในแต่ละวัน เพราะเราทราบว่าเมื่อพืชดูดซึม ไนเตรทจะปล่อยด่างออกมา | ||||||||||
แทนที่ และเมื่อพืชดูดซึมแอมโมเนียมจะปล่อยกรดออกมาแทนที่ และพืชดูดซึมแอมโมเนียมได้เร็ว | ||||||||||
ดังนั้นถ้า pH ของสารละลายธาตุอาหารลดลงอย่างรวดเร็วก็หมายความว่าแอมโมเนียมมาก ถ้า pH ของ | ||||||||||
สารละลายธาตุอาหารลดลงอย่างช้าๆ ก็หมายความว่ามีแอมโมเนียมปานกลาง และถ้า pH ของสารละลายธาตุอาหาร | ||||||||||
เพิ่มขึ้นก็หมายความว่า พืชกำลังดูดซึมปุ๋ยในโตรเจนที่เป็นไนเตรทเป็นหลักและแอมโมเนียมคงเกือบหมดหรือหมดแล้ว | ||||||||||
ในการปลูกผักด้วยสารละลายธาตุอาหารที่เติมโมโนแอมโมเนียมฟอสเฟต มีข้อควรระวังอยู่บ้าง เราต้องทราบว่า | ||||||||||
โมโนแอมโมเนียมฟอสเฟต (MAP) มีฤทธิ์เป็นกรด การตรวจวัด pH จึงต้องทำหลังจากเติม MAP ลงไปแล้ว และเราต้อง | ||||||||||
คิดอยู่เสมอว่าเมื่อ พืชดูดแอมโมเนียมพืชจะปล่อยกรดออกมาแลกเปลี่ยน ดังนั้นสารละลายธาตุอาหารจึงมีแนวโน้มที่จะ | ||||||||||
เปลี่ยนแปลงไปในทางเป็นกรดเพิ่มขึ้น (pH ต่ำลง) เราจึงต้องเตรียมสารละลายเจือจางมากๆ ของโปแตเซี่ยมคาร์บอเนท | ||||||||||
ไว้ใช้ปรับ pH ให้สูงขึ้น สำหรับระดับ pH ที่เป็นเป้าหมายในการปรับในกรณีที่มีแอมโมเนียมในสารละลายควรอยู่ที่ 6.5 | ||||||||||
เพราะสารละลายมีแนวโน้มที่จะเป็นกรดเพิ่มขึ้น และผิวรากก็จะเป็นกรดเพิ่มขึ้นจากการเปลี่ยนกรดออกมาแลกเปลี่ยนกับ | ||||||||||
แอมโมเนียม เป็นที่ทราบกันอยู่ทั่วไปแล้วว่าถ้ามีแอมโมเนียมอยู่ในสารละลายธาตุอาหารเราจะไม่ปรับ pH ให้ต่ำกว่า 6 | ||||||||||
เพราถ้าต่ำกว่า 6 พืชอาจแสดงอาการผิดปกติ ที่มักจะเรียกกันว่าความเป็นพิษของแอมโมเนียมที่มีต่อพืช | ||||||||||
การปลูกวอเตอร์เครสด้วยระบบ NFT+DFT | ||||||||||
วอเตอร์เครส (Watercress) ในที่นี้หมายถึง วอเตอร์เครสแท้ที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Nesturtium Officinale | ||||||||||
ไม่ใช่ผักเป็ดที่บางคนนำมาจำหน่าย ในนามของวอเตอร์เครส วอเตอร์เครสเป็นผักน้ำที่ออกรากตามข้อที่โคนใบ | ||||||||||
โดยหลักการแล้วเราสามารถนำยอดมาปลูกในน้ำ หรือมาหว่านบนแผ่นฟองน้ำ ขนาดใหญ่ดังที่ทำกันอยู่ในต่างประเทศ | ||||||||||
ในประเทศไทยการปลูกโดยวิธีดังกล่าวทำได้ยาก วิธีที่ทำได้ง่ายกว่าคือ การใช้เมล็ดที่มีขนาดเล็กมากมาเพาะในถ้วยและ | ||||||||||
ปลูกในระบบ NFT การปลูกในระบบนี้ไม่เน่าง่าย แต่โคนต้นมีขนาดเล็กมาก และรากที่ส่วนบนต้นก็ไม่มีน้ำหล่อ | ||||||||||
เท่าที่ปลูกกันมาในภาคกลางก็ได้ผลดีพอควรแต่ไม่ดีมาก วิธีที่ดีที่สุด คุณอรรถพร สุบุญสันต์ ทำขึ้น คือการปลูกด้วยเมล็ด | ||||||||||
ในราง NFT แล้วทำราง DFT (น้ำลึกกว่า NFT) ที่เป็นรางเปิดกระหนาบราง NFT ทั้งสองข้างเพื่อให้ส่วนต้นมีสารละลาย- | ||||||||||
ธาตุอาหารหล่อเลี้ยงตามสภาพที่วอเตอร์เครสต้องการ ผลที่ได้คือวอเตอร์เครสที่อวบอ้วนและงามมากโดยที่ไม่เน่าแม้ปลูก | ||||||||||
ในอากาศร้อน | ||||||||||
การใช้ Air Cooler กับสารละลายธาตุอาหาร | ||||||||||
การรักษาอุณหภูมิของสารละลายธาตุอาหารให้อยู่ในช่วงที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญ สำหรับประเทศไทยที่อยู่ | ||||||||||
ในเขตร้อนมีปัญหาหลักอยู่ที่สารละลายธาตุอาหารร้อนเกินไป สารละลายที่มีอุณหภูมิสูงขึ้นจะมีออกซิเจนที่ละลายอยู่ใน | ||||||||||
สารละลายลดลง และรากพืชผักไม่ทนต่อความร้อนและการทำงานของรากจะด้อยลงเมื่ออุณหภูมิของสารละลายเพิ่มขึ้น | ||||||||||
โดยที่มีจุดวิกฤตอยู่ที่ประมาณ 30 องศาเซลเซียส ดังนั้นการทำให้สารละลายธาตุอาหารมีอุณหภูมิไม่เกิน 30 องศาเซลเซียส | ||||||||||
ด้วยค่าใช้จ่ายที่ต่ำจึงเป็นวิธีการที่เหมาะสมที่สุด วิธีที่ต้องการนี้บรรลุผลได้ด้วยเครื่อง Air Cooler ที่คุณอรรถพร สุบุญสันต์ | ||||||||||
ประดิษฐ์ขึ้น และได้รับรางวัลจากกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ เครื่องนี้ใช้ไฟฟ้าน้อยกว่าเครื่อง Chiller มาก เพราะ Air Cooler | ||||||||||
ไม่มีคอมเพรสเซอร์ Cooler นี้ประกอบด้วยซุปเปอร์ซาร์ท สำหรับอัดอากาศเข้าไปในหม้ออากาศที่ทำด้วยหม้อน้ำรถยนต์ | ||||||||||
อากาศในหม้ออากาศนั้น จะถูกทำให้เย็นด้วยลมและละอองน้ำที่เป่าเข้ามาพร้อมกัน ลมจากหม้ออากาศที่เย็นลงแล้ว | ||||||||||
จะผ่านท่อไปสู่หัวทรายเป็นฟอง ในปริมาณมากผ่านสารละลายธาตุอาหาร สารละลายธาตุอาหารจะเย็นลง ส่วนหนึ่ง | ||||||||||
มาจากลมที่มีอุณหภูมิประมาณ 26 องศาเซลเซียส และอีกส่วนหนึ่งจากการระเหยของน้ำในสารละลายธาตุอาหาร | ||||||||||
สารละลายธาตุอาหารจะมีอุณหภูมิต่ำกว่าจุดวิกฤตเสมอ ผักจะสดใสขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งในฤดูร้อน | ||||||||||
_________________________________________________ |
Tuesday, June 4, 2013
เอกสารประกอบการเยี่ยมชม แม่บัวหลวงไฮโดรโพนิกส์
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
No comments:
Post a Comment